วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

“พระรูปหล่อโบราณหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นิยมบล็อกมีมือรองนั่ง” หรือที่บางเซียนเรียกว่า “พิมพ์ชายติด” วันนี้จึงถึงคิวของบล็อก “ไม่มีมือรองนั่ง” หรือพิมพ์ “ชายห่าง” ที่วงการนักสะสมทุกระดับยกย่องให้เป็น “พระรูปหล่อยอดนิยมอันดับหนึ่ง” เช่นกันและหากมีคำถามว่าทั้งสองพิมพ์นี้ พิมพ์ใด เป็นพิมพ์ยอดนิยมหรือราคาแพงกว่าผู้เขียนก็ตอบได้ว่า “เท่าเทียมกัน” ทุกประการขึ้นอยู่กับสภาพ “สมบูรณ์มาก” (งามมาก) หรือ “สมบูรณ์น้อย” (งามน้อย) เท่านั้น     

และก่อนจะชี้จุดสังเกตของพิมพ์ “ไม่มีมือรองนั่ง” (ชายห่าง) ขอเรียนก่อนว่า...
   ลักษณะขององค์พระ ส่วนใหญ่ จะเหมือนกันเพราะการทำบล็อก (แม่พิมพ์) เพื่อหล่อพระแบบโบราณนั้นทำจาก องค์ต้นแบบเดียวกัน เพียงแต่มีการนำมาตกแต่งให้ดูสวยงามและอลังการขึ้นเช่นมีการ ลบตะเข็บข้างออก พร้อมตกแต่งบางจุดให้ดูสวยงามขึ้นจึงทำให้บางจุดมี ข้อแตกต่างกัน แต่ก็แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยคือ เนื้อ เป็นเนื้อเดียวกันคือ “ทองผสม” 
ส่วนวิธีการ เทหล่อ ก็น่าจะเทหล่อในวันเดียวกันหรือหากไม่ใช่วันเดียวกันแล้ว ก็น่าจะใช้ระยะเวลาที่ไล่เลี่ยด้วยเหตุนี้ผิวองค์พระตลอดทั้งเนื้อในจึง ไม่แตกต่างกันเลย จะแตกต่างกันบ้างก็เพราะเกิดจากการ เก็บรักษา และเพื่อไม่ให้เสียเวลาขอชี้จุดสังเกตกันเลยดังนี้ (องค์ที่นำมาชี้จุดสังเกตนี้จัดได้ว่าเป็นองค์ที่สวยสมบูรณ์มากอีกองค์ และผู้ที่เป็นเจ้าของก็คือ พิศาล เตชะวิภาค อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระ)
๑. “ศีรษะ” ดูจากด้านหลังมีลักษณะคล้ายกับบาตรพระทรงคว่ำส่วน “ใบหู” ทั้งสองข้างใหญ่หนายาวจดไหล่ “เปลือกตา” ส่วนใหญ่นูนหนาคล้ายหมวกแก๊ปและข้างขวาอยู่สูงกว่าข้างซ้าย “ใต้เปลือกตา” ทั้งสองข้างเว้าลึกเข้าไปภายใน

๒.“จมูก” ลักษณะใหญ่และโด่งนูน “โหนกแก้ม” ทั้งสองข้างนูนสูง “ปาก” ลักษณะคล้ายกับเผยอเล็ก ๆ (ในลักษณะแย้มยิ้ม) และริมฝีปากล่างจะหนากว่าริมฝีปากบน

๓.“แขนขวา” เป็นลำนูนกางออกเล็กน้อย “ไหล่ด้านซ้าย” ปรากฏ ผ้าสังฆาฏิ นูนหนาใหญ่คลุมทับยาวไปถึงฝ่ามือซ้ายในลักษณะบิดเฉียงเล็กน้อย “ปลายสังฆาฏิ” เล็กกว่าด้านบนและด้านซ้ายเป็นมุมข้าวหลามตัด แขนซ้ายปรากฏผ้าจีวรพลิ้วเป็นคลื่นสวยงาม “ชายจีวร” เส้นล่างสุดเป็นเส้นแยกที่เห็นได้ชัด (ที่มาของชื่อพิมพ์ชายห่าง) และอกด้านขวาปรากฏจีวรเป็นเส้นโค้งเข้าไปในซอกแขน

๔. “มือขวา” ปรากฏเฉพาะ “หัวแม่มือ” นูนหนาเป็นเส้นตรงโดยไม่ปรากฏนิ้วชี้ ส่วน “มือซ้าย” ปรากฏนิ้วชี้แต่เพียงแผ่ว ๆ (ที่มาของชื่อพิมพ์ไม่มีมือรองนั่ง) และหัวแม่มือทั้งสองข้างที่ประสานกันจะไม่บรรจบกัน จึงเกิดเป็นช่องว่างแต่ก็มีเส้นขีดเล็กๆเชื่อมต่อกัน

๕. “ตักขวา” ปรากฏ ชายจีวร สองเส้นตรงบริเวณแข้งในลักษณะเฉียงเล็ก ๆ เช่นกันกับ “ตักซ้าย” ก็ปรากฏชายจีวรลักษณะเฉียงสามเส้น และบริเวณซอกขาขวาที่ทับขาซ้ายจะปรากฏ “เนื้อเกิน” เป็นรูปตาคน บรรดาเซียนจึงเรียกว่า “ตาพระอินทร์” (พิมพ์มีมือรองนั่งไม่มีจุดนี้) 

๖. “ฐาน” ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะเป็นฐานที่บางกว่า “พิมพ์ขี้ตา” และประการสำคัญที่จะต้องจดจำคือ “พิมพ์นิยม” ทุกองค์ทุกบล็อก (พิมพ์) จะไม่ปรากฏ “รอยตะเข็บข้าง”.

'พุทธธัสสะ'
เรื่องพุทธคุณนั้นหายห่วง สมชื่อของท่านว่าโชคลาภเงินทองย่อมต้องไม่ขาดมือ ส่วนค่านิยมในวงการนั้นทะลุล้านมานานแล้ว ยิ่งถ้าเป็นพิมพ์นิยมมีการเปลี่ยนมือถึงหลักสิบล้าน 


๏...“พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นิยม”๑ ...๚ะ๛

/


 “พระรูปหล่อโบราณ” ที่วงการนักสะสมทุกระดับยกย่องให้เป็น “พระรูปหล่อยอดนิยมอันดับหนึ่ง” เช่นกันคือ “พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นิยม” ซึ่งนอกจากมีราคาค่านิยมมหาศาลแล้วยังเป็นสุดยอด “พระรูปหล่อโบราณ” ที่สร้างและปลุกเสกโดย “หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ” อดีตเจ้าอาวาส “วัดบางคลาน” แห่ง บ้านบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร นั่นเอง

ส่วนเหตุใดวงการนักสะสมจึงยกย่องให้เป็น “อันดับหนึ่ง” ของพระประเภท “รูปหล่อโบราณ” ที่สร้างด้วยเนื้อ “ทองผสม” ก็เพราะ “หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ” นับเป็นศิษย์ผู้น้องของยอดเกจิอาจารย์แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งก็คือ “สมเด็จโต พรหมรังสี” เพราะ “หลวงพ่อเงิน” ร่ำเรียนพระธรรมวินัยและด้านวิปัสสนากรรมฐานจาก “วัดตองปุ” ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดชนะสงคราม” เนื่องจากบวชเป็น “สามเณร” อยู่ที่นั่นแต่พออายุ ครบบวช เป็นพระภิกษุก็สึกออกมาเป็นฆราวาสพร้อมกลับไปยังบ้านเกิดที่ อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร อยู่ระยะหนึ่งก็เกิดเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาสจึงกลับไปบวชเป็น พระภิกษุ กระทั่ง โยมปู่ ชราภาพมากแล้ว “หลวงพ่อเงิน” จึงกลับไปบ้านเกิดพร้อมทำการสร้าง “วัดบางคลาน” (เดิมชื่อวัดวังตะโก) ระหว่างนี้จึงสร้างวัตถุมงคลไว้มากมายหลายชนิด
และที่ได้รับความนิยมมากสุดก็คือ
 “พระรูปหล่อพิมพ์นิยม” ที่มีด้วยกันสองแม่พิมพ์ (สองบล็อก) คือ 
“พิมพ์มีมือรองนั่ง” หรือ “พิมพ์ชายติด” 
และ “พิมพ์ไม่มีมือรองนั่ง” หรือ “พิมพ์ชายห่าง”
 ซึ่งวันนี้ขอนำ “พิมพ์มีมือรองนั่ง” มาทำการชี้จุดสังเกตก่อนดังนี้ (องค์ที่นำมาชี้จุดสังเกตนี้ถือได้ว่าเป็นองค์ที่สมบูรณ์มากองค์หนึ่งซึ่งเป็นสมบัติของ พยัพ คำพันธุ์ นายกสมาคมผู้นิยมพระฯ)

๑.“ศีรษะ” ดูจากด้านหลังมีลักษณะคล้ายกับบาตรพระทรงคว่ำ ส่วน “ใบหู” ทั้งสองข้างหนาใหญ่ยาวจดไหล่ “เปลือกตา” ทั้งสองข้างคล้ายหมวกแก๊ปและนูนชัด “ใต้เปลือกตา” ทั้งสองข้างเว้าลึกเข้าไปภายในโดย เปลือกตาด้านขวา จะสูงกว่าด้านซ้ายเล็กน้อย

๒.“จมูก” ลักษณะใหญ่และโด่งนูนชัด ส่วน “โหนกแก้ม” ทั้งสองข้างนูนสูง “ปาก” ลักษณะคล้ายกับเผยอเล็ก ๆ (ในลักษณะแย้มยิ้ม) และริมฝีปากล่างจะใหญ่กว่าริมฝีปากบน

๓.“แขนขวา” เป็นลำนูนเด่นกางออกเล็กน้อย “ไหล่ด้านซ้าย” ปรากฏ ผ้าสังฆาฏิ นูนหนาใหญ่คลุมทับยาวไปถึงฝ่ามือซ้ายในลักษณะบิดเฉียงเล็กน้อย “ปลายสังฆาฏิ” เล็กกว่าด้านบนอย่างเห็นได้ชัดและตรงด้านซ้ายเป็นมุมแบบข้าวหลามตัด แขนซ้ายปรากฏผ้าจีวรพลิ้วเป็นคลื่นสวยงามและ “ชายจีวร” เส้นล่างสุดติดกันเป็นปื้น (ที่มาของชื่อพิมพ์ชายติด) และอกด้านขวาปรากฏผ้าจีวรเป็นเส้นโค้งเข้าไปในซอกแขนได้รูปสวยงาม

๔. “มือขวา” ปรากฏเฉพาะ “หัวแม่มือ” นูนหนาเป็นเส้นตรงโดยไม่ปรากฏนิ้วชี้ ส่วน “มือซ้าย” ปรากฏนิ้วชี้ชัดเจนและหัวแม่มือใหญ่กว่า
นิ้วชี้ (ที่มาของชื่อพิมพ์มีมือรองนั่ง) และหัวแม่มือทั้งสองข้างที่ประสานกันจะไม่บรรจบกัน จึงเกิดเป็นช่องว่างแต่ก็มีเส้นขีด
เล็ก ๆ เชื่อมต่อกัน

๕. “ตักขวา” ปรากฏ ชายจีวร สองเส้นตรงบริเวณหน้าแข้งในลักษณะเฉียงเช่นกันกับ “ตักซ้าย” ก็ปรากฏชายจีวรลักษณะเฉียงสามเส้น

๖. “ฐาน” ส่วนใหญ่ที่พบเห็นจะเป็นฐานที่บางกว่า “พิมพ์ขี้ตา” และประการสำคัญที่จะต้องจดจำคือ “พิมพ์นิยม” ทุกองค์จะไม่ปรากฏ “รอยตะเข็บข้าง”.

เรื่องพุทธคุณนั้นหายห่วง สมชื่อของท่านว่าโชคลาภเงินทองย่อมต้องไม่ขาดมือ ส่วนค่านิยมในวงการนั้นทะลุล้านมานานแล้ว ยิ่งถ้าเป็นพิมพ์นิยมมีการเปลี่ยนมือถึงหลักสิบล้าน 

'พุทธธัสสะ'

๏...พระรูปหล่อโบราณหลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา...๚ะ๛




พระรูปหล่อโบราณหลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา

พระรูปหล่อโบราณหลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตา : "พระองค์ครู" โดย ไตรเทพ ไกรงู


           “หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ” มีนามเดิมว่า "เงิน" เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๓๔๘  ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งรัตนโกสินทร์ บิดาชื่อ นายอู๋ มารดาชื่อ นางฟัก เป็นชาวบ้าน ต.บางคลาน จ.พิจิตร  เป็นชาวบ้านบางคลาน อ.บางคลาน จ.พิจิตร มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๖ คนด้วยกัน เป็นบุตรคนที่ ๔

      หลวงพ่อเงิน สามารถรู้วาระจิตผู้มาเยือนด้วยญาณวิเศษได้อย่างมหัศจรรย์ และยังเป็นหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้อย่างชะงัด อีกด้วย เคยมีผู้ไปลองดีกับท่าน ท่านก็แอ่นอกให้ยิง แต่กระสุนไม่ยอมออกจากลำกล้อง ความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงอัจฉริยะของ "หลวงพ่อเงิน" บางคลาน นับว่าร่ำลือกันไปไกลมาก จนถึงขนาดเสด็จในกรม "กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์" ก็ยังเสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย

         หลวงพ่อเงิน ท่านได้สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลไว้หลายชนิด แต่ที่นิยมกันสุดๆ มี ๔ พิมพ์ คือ รูปหล่อพิมพ์นิยม รูปหล่อพิมพ์ขี้ตา เหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ และเหรียญหล่อพิมพ์จอบเล็ก อายุการสร้างถึงวันนี้ประมาณ ๑๐๐ ปี 
ค่านิยมพระหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ทุกพิมพ์ถ้าอยู่ในสภาพสวยสนนราคาขึ้นหลักล้านทั้งสิ้น 
ปัจจุบันหาพระแท้ๆ ได้ยากครับ พุทธคุณของท่านนั้นเด่นทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และโชคลาภ

            สำหรับพระรูปหล่อโบราณพิมพ์ขี้ตาของหลวงพ่อเงิน กษมสุทธิ์ นักธุรกิจใหญ่แห่ง จ.สงขลา ต้องยอมรับว่ารูปหล่อพิมพ์ขี้ตาหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์นี้มีสภาพความสมบูรณ์เกือบจะเรียกได้ว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะผิวพระเป็นประเภทผิวเดิมสนิมเดิม ร่องรอยธรรมชาติโดยเฉพาะใต้ฐานแสดงการหล่อแบบโบราณที่เรียกกันว่า “เบ้าหก” หรือเบ้าขนมครก ซึ่งต่างกันกับพิมพ์นิยมซึ่งหล่อเป็นช่อหรือมีชนวนหล่อ ต้องตัดชนวนหล่อใต้ฐาน
            พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินพิมพ์ขี้ตาองค์นี้ซึ่งหล่อเป็นเบ้าประกบ จึงมักจะเกิดตะเข็บให้เห็นมากบ้างน้อยบ้าง แต่องค์นี้การประกบเบ้ามีลักษณะเขยื้อนเล็กน้อย จึงเป็นเหตุให้รอยตะเข็บยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นธรรมชาติเฉพาะของพระรูปหล่อหลวงพ่อเงินองค์ครูองค์นี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์ขี้ตาสภาพเดิมๆที่สวยและมีเสน่ห์ เรื่องพุทธคุณนั้นหายห่วง สมชื่อของท่านว่าโชคลาภเงินทองย่อมต้องไม่ขาดมือ 
 ส่วนค่านิยมในวงการนั้นทะลุล้านมานานแล้ว ยิ่งถ้าเป็นพิมพ์นิยมมีการเปลี่ยนมือถึงหลักสิบล้าน 
 สำหรับพิมพ์ขี้ตาองค์นี้ก็ไม่น่าจะหนี ๒-๓ ล้านบาท



๏...พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิมพ์พิมพ์ขี้ตา ๓ชาย...๚ะ๛




สำหรับ “พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” เฉพาะ “พิมพ์ขี้ตา” นี้มีทั้งหมด ๔ พิมพ์ ด้วยกันคือ “พิมพ์ขี้ตา ๓ ชาย-พิมพ์ขี้ตา ๔ ชายเล็ก พิมพ์ขี้ตา ๔ ชายใหญ่” และ “พิมพ์ ๕ ชาย” ซึ่งส่วนใหญ่ของรูปทรงองค์พระจะ “คล้ายกัน” โดยมีข้อปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไปจนแบ่งออกเป็น ๔ พิมพ์ ซึ่งผู้เขียนก็จะทำการชี้จุดสังเกตเพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถนำไปเรียนรู้เป็นพื้นฐานเนื่องจากคุณค่าของ “พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” ไม่ว่าจะเป็น “พิมพ์นิยม” หรือ “พิมพ์ขี้ตา” หากอยู่ในสภาพสวยและสมบูรณ์เดิม ๆ พร้อมผ่านการสัมผัสน้อยแล้วราคาก็ต้องใช้ “เงินล้าน” จึงมีสิทธิได้ครอบครอง

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดขบวนการ “ปลอมแปลง” เพื่อนำมาขายกับผู้ที่ไม่ถ่อง แท้ซึ่งก็มีการ “โดน” กันมามากแล้วผู้เขียนจึงขอเตือนจะหาของ “ราคาแพง” มาเป็นสมบัติก็ควรจะได้ “ของแท้” เพราะหากถึงคราวขัดสนก็สามารถนำเปลี่ยนเป็นเงินได้แต่หากเป็น “ของปลอม” แล้วอย่าว่าแต่ขายเลย ให้ฟรี ก็ไม่มีใครต้องการฉะนั้นจะบูชาพระราคาแพงก็ควรบูชาเฉพาะองค์ที่ “แท้ทุกสนาม” ไม่ใช่ “แท้แค่สนามเดียว” แล้วจะไม่ผิดหวังและบรรทัดต่อไปขอนำท่านผู้อ่านพบกับการชี้จุดสังเกต “พิมพ์ขี้ตา ๓ ชาย” กันเลย

๑.“ศีรษะ” ลักษณะคล้ายกับ “บาตรคว่ำ” เฉกเช่นพิมพ์อื่น ๆ ส่วน “ใบหู” หนาใหญ่เห็นเด่นชัดทุกองค์ “ตา” ด้านขวาสูงกว่าด้านซ้ายและที่ “หัวมุมใต้ตาซ้าย” มีเนื้อเกินเป็นตุ่มเล็กที่คล้ายกับขี้ตาจึงเป็นที่มาของชื่อ “พิมพ์ขี้ตา”

๒.“จมูก” บานใหญ่โด่งนูน “ปาก” ลักษณะคล้าย “พระจันทร์เสี้ยว” โดยริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบนและ “เส้นสังฆาฏิ” โค้งนูนไม่แบนราบและตรงปลายเล็กกว่าด้านบน

๓.“เส้นจีวรด้านขวา” จะแทงตรง (ไม่โค้ง) ลงยังท้องแขนขวาเป็นมุม ๔๕ องศา โดย “เส้นล่างสุด” เป็นเส้นหนาใหญ่อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของ “พิมพ์ ๓ ชาย” ส่วน “เส้นจีวรขวา” ลักษณะเป็นเส้นพลิ้วและคว่ำลง

๔. “ฝ่ามือ” ทั้งสองข้างที่ประสานกันในท่านั่งสมาธิคอดตรงกลางเล็กน้อยส่วน “ตักขวา” ที่ทับขาซ้ายมีเส้นชายจีวรสองเส้นในแนวเฉียงเล็ก ๆ และ “ตักซ้าย” มีเส้นชายจีวรสามเส้นในแนวเฉียงเช่นกัน

๕. “ฐาน” ของพิมพ์ขี้ตาทุกพิมพ์จะหนากว่า “พิมพ์นิยม” และข้อที่พึงจดจำคือ “ขอบข้าง” จะมีตะเข็บทุกองค์และ “ใต้ฐาน” ก็จะไม่ปรากฏรอยก้านชนวน.

'พุทธธัสสะ'
  

  

๏...พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตาสี่ชายใหญ่...๚ะ๛





“พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน” “วัดบางคลานพิมพ์สี่ชายใหญ่”

วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน 2554

วันนี้จึงขอชี้จุดสังเกตพิมพ์ “ขี้ตาสี่ชาย” เป็นลำดับต่อไปแต่เนื่องจากพิมพ์ “ขี้ตาสี่ชาย” นี้มีด้วยกันสองแม่พิมพ์ (บล็อก) คือ “สี่ชายใหญ่” (บางเซียนเรียกพิมพ์ขี้ตาสี่ชายบล็อกจีวรยาว) กับ “สี่ชายเล็ก” (บางเซียนเรียกพิมพ์ขี้ตาสี่ชายบล็อกจีวรสั้น) ซึ่งลักษณะองค์พระโดยรวมแล้วจะคล้ายกันมากทีเดียว หากไม่สังเกตให้ถี่ถ้วนจะมองดูว่าเป็นพิมพ์เดียวกันไป ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนจึงต้องขอทำความเข้าใจกับผู้สนใจที่จะศึกษา เนื่องจากชื่อพิมพ์เหมือนกันก็จริงแต่การปั้นหุ่นเพื่อทำแม่พิมพ์ยังมีข้อ “แตกต่าง” กันอยู่บ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อยหากไม่ช่างสังเกตจริง ๆ แล้วก็ยากที่จะแยกแยะได้เช่นกัน
   
สำหรับค่านิยมของ “พิมพ์สี่ชายใหญ่” และ “พิมพ์สี่ชายเล็ก” ก็ขึ้นอยู่กับสภาพองค์พระว่า “สวยสมบูรณ์” มากหรือน้อย หาก สวยสมบูรณ์มาก ค่านิยมก็จะสูงมากเป็นเงาตามตัวเฉกเช่นพิมพ์อื่น ๆ เพราะโลหะที่นำมาหล่อนั้นเป็นโลหะชนิดเดียวกันคือ “ทองผสม” นั่นเอง โดยจุดสังเกตดังต่อไปนี้

๑.    “ศีรษะ” ลักษณะคล้ายกับ “บาตรคว่ำ” อย่างพิมพ์อื่น ๆ เช่นกัน “ใบหู” หนาใหญ่เห็นชัดทั้งสองข้าง “ตา” ด้านขวาเป็นเม็ดกลมใหญ่ขณะที่ “ใต้หัวตาซ้าย” มีเนื้อเกินเป็นตุ่มคล้ายขี้ตาจึงเป็นที่มาของชื่อ “พิมพ์ขี้ตา”

๒. “แก้ม” ด้านขวามีตำหนิซึ่งเป็นตำหนิในพิมพ์ทุกองค์ (ที่ควรจดจำให้แม่น) “จมูก” บานใหญ่โด่งนูน “ปาก” คล้าย “พระจันทร์เสี้ยว” และริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบน

๓. “เส้นสังฆาฏิ” โค้งนูนหนาและมี “รู” อยู่ด้านบนและด้านล่างอย่างละรูซึ่งเป็น “ตำหนิในพิมพ์” จึงต้องจดจำให้แม่นเช่นกัน

๔. “ริ้วจีวรด้านขวา” จะมีความโค้งขนานกับท้องแขนขวามากกว่า “พิมพ์สี่ชายเล็ก” และริ้วจีวรเส้นล่างสุดจะยาวกว่า “พิมพ์สี่ชายเล็ก” (ที่มาของการเรียกบล็อกจีวรยาว) ส่วน “ริ้วจีวรซ้าย” ลักษณะเป็นเส้นพลิ้วคว่ำลง

๕. “ฝ่ามือ” ทั้งสองข้างที่ประสานกันในท่านั่งสมาธิคอดตรงกลางเล็กน้อย ส่วน “ตักขวา” ที่ทับขาซ้ายมีเส้นชายจีวรสองเส้นในแนวเฉียงเล็ก ๆ และ “ตักซ้าย” มีเส้นชายจีวรสามเส้นในแนวเฉียงเช่นกัน

๖. “ฐาน” ของพิมพ์ขี้ตาทุกพิมพ์จะหนากว่า “พิมพ์นิยม” และข้อที่พึงจดจำคือ “ด้านข้างองค์พระ” จะมีตะเข็บทุกองค์ และ “ใต้ฐาน” ก็จะไม่ปรากฏรอยก้านชนวน.

พุทธธัสสะ

๏...พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตาห้าชาย ...๚ะ๛



'พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน' 'วัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตาห้าชาย' - ศึกษาให้ดีมีกำไร

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554 

ถือเป็นพิมพ์สุดท้ายของ “พิมพ์ขี้ตา” ในตระกูล “พระรูปหล่อหลวงพ่อเงิน” แห่ง วัดบางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร ซึ่งเป็นพระประเภท หล่อโบราณ ด้วยโลหะ ทองผสม ที่ได้รับความนิยม อันดับหนึ่ง ทำให้มีคุณค่าราคาที่สุดแพง ซึ่งปัจจุบันจะเสาะหามาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลสักองค์ก็ต้องใช้เงิน “หลายล้าน” จึงมีสิทธิได้ครอบครองทั้งนี้ก็เพราะนักสะสมทั่วไป ต่างเชื่อกันว่าพุทธคุณในองค์พระที่ปลุกเสกโดย “หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” นี้มีมากมายหลายประการทั้ง มหาอุด เมตตามหานิยม พร้อมบันดาล โชคลาภ ให้กับผู้ที่บูชาเป็นประจำมามากต่อมากแล้วนั่นเอง
ทางด้านค่านิยม “พิมพ์ขี้ตา” ที่แยกแยะออกได้หลายพิมพ์ (บล็อก) นั้น หากถามว่าพิมพ์ใดค่านิยมสูงสุด ผู้เขียนตอบได้ว่า “เท่าเทียมกัน” ส่วนราคาจะแพงมากหรือแพงน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ ขององค์พระ ทั้งนี้ก็เพราะการหล่อพระด้วยโลหะในสมัยก่อน ยังไม่มีเทคนิคที่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นการหล่อพระ นอกจากจะทำได้ยุ่งยากแล้วเนื้อโลหะที่เทหล่อพระลงในเบ้า ส่วนมากติดไม่สม่ำเสมอคือบางองค์ติดเต็ม (มีน้อยมาก) บางองค์ติดบ้างไม่ติดบ้างรวมถึงเป็นหลุมเป็นบ่อ จึงทำให้พระขาดความสวยงามไป ส่วนจุดสังเกตของ “พิมพ์ขี้ตาห้าชาย” มีดังนี้
๑.“ศีรษะ” ลักษณะคล้าย “บาตรคว่ำ” เฉกเช่นพิมพ์ขี้ตาอื่น ๆ ส่วน “ใบหู” หนาใหญ่เห็นชัดทั้งสองข้าง “ตา” ด้านขวาเป็นเม็ดกลมใหญ่ขณะที่ “ใต้หัวตาซ้าย” มีเนื้อเกินเป็นตุ่มคล้ายขี้ตาจึงเป็นที่มาของชื่อ “พิมพ์ขี้ตา”
๒.“จมูก” บานใหญ่โด่งนูน “ปาก” เป็นรูปคล้าย “พระจันทร์เสี้ยว” และริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบน
๓.“เส้นสังฆาฏิ” ลักษณะเป็นเส้นโค้งนูนหนา ส่วน “เส้นจีวร” ด้านขวาที่โค้งแต่พองามมี ๕ เส้น ด้านซ้ายที่โค้งพองามเช่นกันมี ๓ เส้น และหงายขึ้น (ไม่คว่ำ) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ “พิมพ์ขี้ตาห้าชาย” จึงควรจดจำให้แม่น
๔. “ฝ่ามือ” ทั้งสองข้างที่ประสานกันในท่านั่งสมาธิคอดตรงกลางเล็กน้อยส่วน “ตักขวา” ที่ทับขาซ้ายมีเส้นชายจีวรสองเส้นในแนวเฉียงเล็กน้อยและ “ตักซ้าย” มีเส้นชายจีวรสามเส้นในแนวเฉียงเช่นกัน
๕. “ฐาน” ของพิมพ์ขี้ตาทุกพิมพ์จะหนากว่า “พิมพ์นิยม” และข้อที่พึงจดจำคือ “ด้านข้างองค์พระ” จะมีตะเข็บทุกองค์และ “ใต้ฐาน” ก็จะไม่ปรากฏรอยก้านชนวน
๖. ข้อสังเกตอันเป็นเอกลักษณ์ของ “พิมพ์ขี้ตาห้าชาย” อีกประการก็คือ “องค์พระ” มีขนาดที่อวบใหญ่กว่าพิมพ์ขี้ตาอื่นๆอีกด้วย.
'พุทธธัสสะ'

๏...เหรียญจอบใหญ่หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์ “สังฆาฏิไม่แตก” ...๚ะ๛



'พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน' 'พิมพ์จอบใหญ่' ไม่มี 'ป.ปลา' - ศึกษาให้ดีมีกำไร

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
“เหรียญจอบใหญ่” พิมพ์ (บล็อก) “ไม่มี ป.ปลา” หรือ “สังฆาฏิไม่แตก” ที่เซียนบางกลุ่มเรียกว่า “ชายจีวรห่าง” ก็เป็น “เหรียญจอบใหญ่” อีกพิมพ์ (บล็อก) ที่สร้างด้วย “เนื้อทองผสม” ที่บรรดานักสะสมทุกยุคทุกสมัยให้ความนิยมสูงเช่นกันกับพิมพ์ “มี ป.ปลา” เพราะนอกจากสร้างโดย “หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” ยอดเกจิอาจารย์แห่ง อ.โพทะเล จ.พิจิตร ที่ได้ชื่อว่า “เทพเจ้าแห่งโพทะเล” ซึ่งปัจจุบันจะหามาบูชาก็ต้องใช้ “เงินล้าน” จึงมีสิทธิได้ครอบครอง ทั้งนี้ก็เพราะเจตนาการสร้างของ “หลวงพ่อเงิน” นั้นก็เพื่อให้ เด็ก ๆ อาราธนาแขวนคอไว้จะสามารถป้องกัน “ปลาปักเป้า” ที่ในสมัยนั้นมีชุกชุมในแถบลุ่มแม่น้ำยมและมักกัดเด็ก ๆ ที่ลงเล่นน้ำได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ “หลวงพ่อเงิน” จึงสร้างขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ใช้แขวนคอจะป้องกันปลาปักเป้ากัดได้นั่นเอง

ทางด้านความหายากก็ หายาก พอ ๆ กับพิมพ์ “มี ป.ปลา” เนื่องจากสร้างจำนวนไม่มาก อีกทั้งรูปทรงองค์พระก็มี “ลักษณะเดียวกัน” รวมทั้งขนาดขององค์พระก็มี ขนาดเดียวกัน อีกด้วย จะแตกต่างกันก็เพียง “รายละเอียด” ในพิมพ์ที่แบ่งแยกออกเป็น “สองพิมพ์” (บล็อก) ตามที่ผู้เขียนได้ระบุไว้แล้วในช่วงต้น ดังนั้นการจะเรียนรู้จึงต้องอาศัย “ความจำ” เป็นสิ่งสำคัญจะได้ไม่ผิดพลาดเนื่องจากรายละเอียดที่ แตกต่างกัน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นโดยจุดสังเกตมีดังนี้
๑.“หูเหรียญ” ที่หล่อติดมาในพิมพ์องค์ที่สมบูรณ์จะปรากฏ “เม็ดไข่ปลา” เฉพาะด้านหน้าเฉกเช่นพิมพ์ “มี ป.ปลา” ส่วนขอบเหรียญก็มี “เม็ดไข่ปลา” ล้อมรอบตลอดขอบเหรียญเช่นกัน
๒.“ศีรษะ” ทรงกลมมนทางด้าน “หน้าผาก” โหนกนูน “ใบหน้า” ยาวรีและมี หู ตา จมูก ปาก ชัดเจน
๓.“สังฆาฏิ” ไม่ปรากฏ “เส้นพิมพ์แตก” ทั้งที่บริเวณ หน้าอกซ้าย และ ด้านข้าง จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อพิมพ์ “ไม่มี ป.ปลา” หรือ “สังฆาฏิไม่แตก”
๔.“แขนขวา” ที่วางในลักษณะ “แขนหักศอก” ปรากฏร่องตรง “ข้อศอก” ที่ค่อนข้างชัดลึกส่วนมือ “ทั้งสองข้าง” ที่ประสานกันในท่านั่งสมาธิมีร่องตื้น ๆ คั่นตรงกลางเป็นการแบ่งแยกระหว่างมือซ้ายกับมือขวา
๕.“ชายจีวร” สองเส้นล่างสุดในพิมพ์ “ไม่มี ป.ปลา” จะห่างกันมากกว่าพิมพ์ “มี ป.ปลา” จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อพิมพ์ว่า “ชายจีวรห่าง”
๖.“เส้นขอบ” ที่คั่นเม็ดไข่ปลาด้านล่างองค์พระ “ปลายเส้น” จะทแยงหายเข้าไปใต้เท้าซ้าย
๗.“ด้านหลังเรียบ” ไม่ปรากฏการอักขระหรือการจารอักขระแต่อย่างใด

'พุทธธัสสะ'ที่มา...http://beta.dailynews.co.th/article/1291/6375
'พุทธธัสสะ'


๏...เหรียญจอบใหญ่หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน...๚ะ๛

'พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน' 'เหรียญจอบใหญ่' พิมพ์ มี ป.ปลา - ศึกษาให้ดีมีกำไร


จัดเป็นอีกพิมพ์ในตระกูล “พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” ที่สร้างด้วยเนื้อ “ทองผสม” และนักสะสมให้ความนิยมสูงไม่แพ้ประเภท “รูปหล่อ” คุณค่าราคาจึงไม่แตกต่างกันคือปัจจุบันต้องใช้เงิน “หลายล้าน” จึงมีสิทธิ์ได้ครอบครองสำหรับ “พิมพ์จอบใหญ่” เพราะเป็นเหรียญที่สร้างด้วยวิธี “หล่อโบราณ” และสร้างขึ้นในยุคต้นประกอบกับเป็นพิมพ์ที่ พบเห็นยาก นักสะสมทุกระดับจึงระบุว่าสร้างไว้น้อยกว่าพิมพ์อื่น ๆ อีกทั้งขนาดขององค์พระ ไม่ใหญ่จนเกินงาม และ ไม่เล็กจนเกินไป เรียกว่ามีขนาดที่พอเหมาะกับการอาราธนาขึ้นแขวนคอนั่นเอง
ส่วนที่เรียกว่า “พิมพ์จอบใหญ่” ก็เนื่องจากรูปทรงองค์พระมีลักษณะที่คล้าย “จอบ” ที่ใช้สำหรับขุดดินโดยมีรูป “หลวงพ่อเงิน” ในท่านั่งสมาธิอยู่ภายในกรอบที่ล้อมรอบด้วย “เม็ดไข่ปลา” ส่วน “ห่วง” (หูเหรียญ) ก็เป็นห่วงเชื่อมที่หล่อติดมากับพิมพ์เพื่อใช้ห้อยคอในยุคนั้น ด้านหลังเรียบไม่มีอักขระหรือการจารอักขระแต่อย่างใด และมีการแบ่งแยกออกเป็น “สองพิมพ์” (บล็อก) คือ “พิมพ์มี ป.ปลา” หรือ “พิมพ์เส้นสังฆาฏิแตก” หรือนักสะสมบางคนเรียกว่า “พิมพ์จีวรชิด” ส่วนอีกพิมพ์คือ “พิมพ์ไม่มี ป.ปลา” หรือ “พิมพ์เส้นสังฆาฏิไม่แตก” หรือนักสะสมบางท่านเรียกว่า “พิมพ์จีวรห่าง” ซึ่งวันนี้ขอนำ “พิมพ์มี ป.ปลา” มาชี้จุดสังเกตที่ควรจดจำก่อนดังนี้
๑.  “หูเหรียญ” ที่หล่อติดมากับพิมพ์ในองค์ที่หล่อติดดีจะมี “เม็ดไข่ปลา” ปรากฏเฉพาะด้านหน้าเท่านั้นและขอบเหรียญจะมี “เม็ดไข่ปลา” ล้อมรอบตลอดแนว
๒.  “ศีรษะ” กลมมน “หน้าผาก” โหนกนูน “ใบหน้า” ยาวรีปรากฏ หู ตา จมูก ปาก ชัดเจน
๓.  “ผ้าสังฆาฏิ” ปรากฏ “เส้นพิมพ์แตก” ทั้งด้านบนและด้านข้าง (ใกล้รักแร้) โดยเส้นพิมพ์แตกนี้มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “ป.ปลา” จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อพิมพ์ว่า “มี ป.ปลา” หรือ “เส้นสังฆาฏิแตก”
๔.  “แขนขวา” ที่วางในลักษณะแบบ “แขนหักศอก” ปรากฏร่องตรง “ข้อศอก” อย่างชัดเจนและ “มือ” ทั้งสองข้างที่ประสานกันจะมีร่องขั้นตรงกลาง เป็นการแบ่งแยกมือซ้ายกับมือขวาอย่างชัดเจน
๕.  “ชายจีวร” ในพิมพ์ “มี ป.ปลา” เส้นล่างสุดจะชิดติดกันจึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อพิมพ์ว่า “ชายจีวรชิด”
๖.  “เส้นขอบ” ที่กั้นเม็ดไข่ปลาด้านล่างขวาองค์พระ “ปลายเส้น” จะแตกหายเข้าไปใต้เท้าซ้าย
๗.  “ด้านหลัง” เรียบไม่มีอักขระหรือการจารอักขระแต่อย่างใด.
'พุทธธัสสะ'
ที่มา.

'พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน' 'เหรียญจอบใหญ่' พิมพ์ มี ป.ปลา - ศึกษาให้ดีมีกำไร

..http://beta.dailynews.co.th/article/1291/3376
๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
 “เหรียญจอบใหญ่หลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์สังฆาฏิแตก” องค์นี้ผ่านการใช้มาโชกโชนแต่หากสนใจ ครอบครอง ก็ต้องควัก กว่าสองล้าน เพราะองค์นี้ ดูง่าย จึงเป็น พระแท้ทุกสนาม อดีตเป็นของ เซียนไฮโซ ปัจจุบันเป็นสมบัติของ “จีระศักดิ์ โกมุทกุล”  


สายตรงคนนิยมพระ วันที่ 22 มกราคม 2555

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2555
“สายตรงคนนิยมพระ” อาทิตย์ที่ ๒๒ มกราคม อยู่ในช่วงเทศกาล ตรุษจีน พอดี “ตะวันบูรพา” จึงขอเอ่ยคำว่า “ซินเจียยู่อี่...ซินนี้ฮวดใช้” กับพี่น้อง ชาวไทยเชื้อสายจีน ทั่วไทย คิดสิ่งใดก็ขอให้ สมปรารถนาทุกประการ และสิ่งที่ อย่าลืม อีกอย่างก็คือ ขับรถลงเรือ ไปเที่ยวเหนือเที่ยวใต้ อย่าประมาท แล้วชีวิตช่วงเทศกาลดี ๆ จะ ไร้ทุกข์ ทุกกรณี  เพราะวันนี้นอกจากอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้วยังเป็น วันอาทิตย์ที่สี่ ของเดือน มกราคม ที่ผู้รู้ระบุว่าคือ เดือนมงคล ของปี “งูใหญ่” ที่เหมาะกับการ ทำกิจการ หรือ งานมงคล เนื่องจากเป็นเดือนที่มี ๕ วันอาทิตย์ ๕ วันจันทร์ ๕ วันอังคาร โบราณจึงถือเป็น เดือนดี ทำกิจการนอกจากมีแต่ “ได้และดี” แล้วกิจการนั้นยัง “ยั่งยืนมั่นคง” ชั่วนิจนิรันดร์  วกมารายงานข่าวชาว พระเครื่อง เพราะวันนี้มี ความคืบหน้า กรณี “นักซื้อมือหนัก” ที่โดน อำนาจมืด จากกลุ่ม นักขายพระ อุ้มขึ้นรถตู้ไป ทวงหนี้ แต่กลับไปยึดเอา “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหมองค์แพง” เรื่องราวก็เลย จบไม่ลง เนื่องจาก “พระสมเด็จฯ” องค์นั้นคือ ของกลางชิ้นสำคัญ กับรูปคดีที่เวลานี้มีการ โยนกลอง ว่าธุดงค์ไปอยู่ในความ ครอบครอง ของ “รัฐมนตรี” ผู้หนึ่งแล้ว  งานนี้ก็เท่ากับ ดึงเอา ท่านรัฐมนตรีมาเกี่ยวข้อง แบบเต็ม ๆ ส่วนผลจะ ดีกับใคร และจะ ให้ร้ายกับผู้ใด วันอาทิตย์หน้า “ตะวันบูรพา” จะเฉลยเนื่องจากช่วงนี้อยู่ใน “เทศกาลดี ๆ” ของพี่น้องชาวจีนจึงไม่ขอพูดถึงเรื่อง “อัปมงคล” ฉะนั้นอย่าลืม ติดตาม รับประกัน ลึกซึ้ง ยิ่งกว่า ดูละครไทย เพราะ ตัวละครใหม่ เรื่องนี้เป็นผู้ มีอิทธิพล ล้นเหลือจริง ๆ 
        “พระแท้พระสวย” ที่นำเป็น “องค์ครู” องค์แรกเป็น “ยอดพระกริ่งชั้นดี” แต่นักสะสมไม่รู้จัก “พระกริ่งพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ที่จัดสร้างโดย วัดพระเชตุพนฯ หรือ วัดโพธิ์ท่าเตียน เมื่อปี ๒๕๑๐ เพื่อหารายได้ก่อตั้ง มูลนิธิพระพุทธยอดฟ้า ส่วนที่ว่า ยอดดี ก็เพราะเป็น “พระกริ่ง” ที่สร้างขึ้นเพียงเนื้อเดียวคือ ทองคำ  ส่วนพิธีจัดสร้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธี เททอง จึงจัดเป็น พระราชพิธี ที่สำคัญยิ่งซึ่งในสมัยปี ๒๕๑๐ หากสนใจบูชาต้อง สั่งจอง องค์ละ ห้าพันบาท ปัจจุบันราคายังไม่แรงแค่ หลักแสน เท่านั้นเองจึงน่าสะสมมากเนื่องจากเฉพาะมูลค่า ทองคำ ก็ทะลุกว่า เจ็ดหมื่น แล้วเพราะหนัก ร่วมสามบาท สมบัติของเซียนพระกริ่ง “สมชัย จงทวีทรัพย์”  
                     องค์ต่อมาเป็น “พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์ขี้ตา” ที่นอกจาก ดูง่าย แล้วสภาพยังระดับ แชมป์ ที่พระเอกนักสะสม “อัครนันท์” ที่หาของเก่งนิมนต์มาจากรังใหญ่ในราคา สูงลิ่ว เพื่อเป็นของขวัญรับปีใหม่ให้ตัวเองเลยขอโชว์เพราะ พระตระกูลนี้ หางาม ๆ ยากจริง ๆ  ส่วนเหรียญนี้เป็น เหรียญแพง ที่เรียกกันว่า “เหรียญจอบใหญ่หลวงพ่อเงินวัดบางคลานพิมพ์สังฆาฏิแตก” องค์นี้ผ่านการใช้มาโชกโชนแต่หากสนใจ ครอบครอง ก็ต้องควัก กว่าสองล้าน เพราะองค์นี้ ดูง่าย จึงเป็น พระแท้ทุกสนาม อดีตเป็นของ เซียนไฮโซ ปัจจุบันเป็นสมบัติของ “จีระศักดิ์ โกมุทกุล”  
       หันมาชมยอดพระแพง เมืองหนองคาย กันบ้างเพราะเป็น “เหรียญหลวงพ่อพระไสพิมพ์ดอกจิก” ที่สร้างเมื่อ ปี ๒๕๐๐ ด้วย เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง โดยจำลองแบบจาก พระประธานในโบสถ์วัดพระไส ปัจจุบันหายากเพราะนักสะสมเมืองหนองคาย เก็บกันหมด องค์นี้สมบัติของนักสะสมสุภาพสตรี “แยม-ชนมณี เทวาฤทธิ์” จึงรับประกันความ แท้ชัวร์  ส่วนองค์นี้ถือเป็น องค์ดารา ก็ว่าได้ 
      “พระปิดตาวัดทองพิมพ์เศียรบาตร” ที่สร้างโดย “พระครูทับวัดทอง” เมื่อประมาณ ปี ๒๔๔๐ ด้วย เนื้อสัมฤทธิ์ ด้วยวิธี เทหล่อโบราณ ส่วนที่บอกว่าเป็นองค์ดาราก็เพราะมีภาพปรากฏใน หนังสือพระเครื่อง หลายเล่มพระเอกนักซื้อ “อัครนันท์” จึงนิมนต์เป็น องค์ประจำตัว เพราะทั้งพระทั้งคนต่างก็เป็น ดารา นั่นแล  
      ส่วนสามองค์นี้เป็น “พระถ้ำเสือกรุวัดเขาดีสลักเนื้อดิน” ที่นักสะสมรุ่นปรมาจารย์ “อ.มนัส โอภากุล” คุณพ่อของ “แอ๊ด คาราบาว” ยืนยันคือ “พระถ้ำเสือ” อีกตระกูลที่อายุ หลายร้อยปี ด้วยเหตุนี้ สมาคมผู้นิยมพระเครื่องฯ จึงจัดเข้าระบบ การประกวด โดยจะเริ่มรับประกวดในงาน ประกวดยักษ์ ที่ สมาคมฯ จัดขึ้นเองในเดือน มีนาคม ที่จะถึง   “ตะวันบูรพา” จึงขอแจ้งเป็น ข่าวดี ให้ผู้ที่มีครอบครองอย่าลืม คัดองค์สวย เตรียมไว้ได้เลยมีนาคมปีนี้นำไป ล่ารางวัล กันได้เลยส่วนสามองค์ที่ท่านชมอยู่นี้เป็น “พิมพ์ใหญ่-พิมพ์กลาง-พิมพ์เล็ก” สมบัติของนักสะสมหน้าใหม่แต่ เก๋าในวงการ เพราะคือ “พ.ต.อ.ชาญศิริ สุขรวย” นั่นแล  ช่วงนี้ “เหรียญพระพรหมหลวงปู่ดู่วัดสะแก” กำลังมาแรง “ตะวันบูรพา”

๏...เหรียญจอบเล็กหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน...๚ะ๛

พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน เหรียญจอบเล็ก - ศึกษาให้ดีมีกำไร



“เหรียญจอบเล็ก” เป็นอีกพิมพ์ที่วงการนักสะสม “พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” ให้ความนิยมสูงแม้จะมีขนาดโตกว่า “เล็บหัวแม่มือ” เล็กน้อยก็ตามเพราะปัจจุบันในองค์ที่สวยสมบูรณ์หรือที่เรียกว่า สภาพเดิม ๆ แล้วก็ต้องใช้ “เงินล้าน” จึงมีสิทธิได้ครอบครองทั้งนี้ก็เพราะ “หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” จัดเป็น “เกจิอาจารย์” ที่มีความเข้มขลังด้านวิชาอาคมจึงทำให้ผู้คนนับถือมาก ประกอบกับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวัยใกล้เคียงกับ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” ยอดพระเกจิอาจารย์แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ คือเป็น “รุ่นน้อง” ที่มีการระบุไว้ว่าเคยไปร่ำเรียนวิชาวิปัสสนาธุระยังสำนักของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” อีกด้วยจึงมีการเข้าใจว่าน่าจะเป็นอีก “ศิษย์” ของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต”


สำหรับ “เหรียญจอบเล็ก” นี้นักสะสมรุ่นเก่าเล่าไว้ว่าเป็นวัตถุมงคล ชนิดแรก ที่ “หลวงพ่อเงิน” สร้างขึ้นโดยระบุว่า “สมัยหลวงพ่อเงินยังมีชีวิตท่านจะสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบ “หน้าจั่ว” (สามเหลี่ยม) ซึ่งจุดประสงค์ที่สร้างก็เพื่อแจกเด็ก ๆ ชาวบ้าน พร้อมศิษย์วัดสำหรับห้อยคอไว้เพราะสมัยโน้นในแถบลุ่มน้ำยมมี ปลาปักเป้า ชุกชุมหากเด็ก ๆ ลงเล่นน้ำแถบหน้าวัด ปลาปักเป้า ก็มักว่ายน้ำมากัดเอาได้แผลเป็นประจำหลวงพ่อเงินจึงสร้างเหรียญแบบ “หน้าจั่ว” ที่ต่อมาเรียกว่า “เหรียญจอบ” (ลักษณะคล้ายจอบสำหรับขุดดิน) ด้วยเนื้อทองผสมมีห่วงในตัวเพื่อใช้แขวนเชือกสำหรับห้อยคอนั่นเอง
“เหรียญจอบเล็ก” ก็มีการแบ่งแยกออกได้ “๔ พิมพ์” (๔ บล็อก) ดังนี้ ๑. พิมพ์ขาตรง (แข้งตรง) ๒. พิมพ์ขาติด (แข้งติด) ๓. พิมพ์เท้าหยัก (เท้ากระดก) ๔. พิมพ์ตาขีด โดยรูปแบบของพิมพ์ส่วนใหญ่จะ คล้ายกัน จะมีแตกต่างกันก็เฉพาะ “หน้า” และ “ขา” (แข้ง) เท่านั้นจากการแกะแม่พิมพ์แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อย จึงทำให้สามารถแบ่งแยกเรียกไปตามลักษณะของพิมพ์ได้ “๔ พิมพ์” ดังกล่าว
โดยวันนี้ผู้เขียนจะขอนำ “พิมพ์ขาตรง” (แข้งตรง) มาชี้จุดสังเกตเป็นประเดิมดังนี้
๑. “หูเหรียญ” ไม่ปรากฏ “เม็ดไข่ปลา” ส่วน “ใบหน้า” เป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวรีคางสั้นปรากฏ หู ตา จมูก ปาก ชัดเจนโดยเฉพาะ “จมูก” ของพิมพ์นี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า เล็กและยาว กว่าพิมพ์อื่น ๆ เล็กน้อยและลักษณะของ “ตา” เป็นเม็ดกลม
๒. “ลำตัว” ลักษณะเดียวกันกับ “พิมพ์จอบใหญ่” เพราะเป็นการนั่งแบบ “สมาธิ” เช่นเดียวกันและอยู่ภายในกรอบรูป สามเหลี่ยมหน้าจั่ว เช่นกันและไม่มี “เม็ดไข่ปลา” ล้อมรอบขอบเหรียญ
๓. “จีวร” การห่ม “จีวร” ก็เป็นการห่มคลุมไหล่ซ้ายเฉกเช่น “พระสงฆ์” และมี “ผ้าสังฆาฏิ” พาดจากไหล่ซ้ายเป็นแนวโค้งหนาลงมาจดฝ่ามือ
๔. “เนื้อเกิน” ที่จะต้องจดจำสำหรับพิมพ์นี้คือปรากฏ “เนื้อเกิน” (ติ่ง) เล็ก ๆ ระหว่างหัวไหล่ซ้ายกับขอบเหรียญ
๕. “ข้อพับศอกขวา” ที่หักศอกไปประสานกับมือซ้ายจะปรากฏ “ร่องตื้น ๆ”
๖. “เท้าซ้าย” เป็น “เส้นตรง” จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ “ขาตรง” (แข้งตรง) “ด้านหลัง” เรียบเช่นเดียวกันกับ “พิมพ์จอบใหญ่”.
พุทธธัสสะ
ที่มา...

พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน เหรียญจอบเล็ก - ศึกษาให้ดีมีกำไร

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
http://beta.dailynews.co.th/article/1291/7329

๏...“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” “เหรียญจอบเล็กพิมพ์ขาติด”...๚ะ๛


“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน”“เหรียญจอบเล็กพิมพ์ขาติด” -

 ศึกษาให้ดีมีกำไร


ยอด “พระหล่อโบราณ” ขนาดเล็กเนื้อ ทองผสม ที่วงการนักสะสมเรียกกันว่า “พิมพ์จอบเล็ก” ในตระกูล “พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” แห่ง บ้านบางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร ที่นักสะสมทุกระดับให้ความนิยมสูงทั้งที่มีขนาดโตกว่า “เล็บหัวแม่มือ” เล็กน้อยเนื่องจากปัจจุบันองค์ที่สวยสมบูรณ์ ไม่ผ่านการใช้มาก่อนก็ต้องใช้เงิน “ล้าน” จึงมีสิทธิได้เป็นเจ้าของ
วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำ “พิมพ์ขาติด” หรือ “พิมพ์แข้งติด” มาชี้จุดสังเกตเป็นลำดับต่อไปเพราะเป็นอีก “พิมพ์จอบเล็ก” ที่ได้รับความนิยมสูงเช่นกันเพียงแต่มีการแบ่งแยกพิมพ์ เพื่อป้องกันการสับสนของการเรียกหา ส่วนค่านิยมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ไหนของ “เหรียญจอบเล็ก” ค่านิยมล้วนเทียบเท่ากันส่วนที่ราคาผิดแผกแตกต่างกันบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของเหรียญเป็นหลัก
โดยจุดสังเกตของ “พิมพ์ขาติด” มีดังนี้
๑. “หูเหรียญ” ไม่ปรากฏ “เม็ดไข่ปลา” ส่วน “ใบหน้า” ของพิมพ์นี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าใหญ่กว่าทุกพิมพ์เนื่องจาก “โหนกแก้ม” จะสูงกว่าพิมพ์อื่น อีกทั้ง “จมูก” ก็ใหญ่กว่าจึงดูสั้นกว่า “พิมพ์ขาตรง” (แข้งตรง)
๒. “คาง” ลักษณะสั้นเช่นกันจึงทำให้ “ใบหน้า” โดยรวมดูอิ่มอวบกว่าทุกพิมพ์ “หู-ตา-ปาก” ปรากฏชัดเจนและลักษณะของ “ตา” เป็นเม็ดกลมเช่นกันกับ “พิมพ์ขาตรง” (แข้งตรง) 
๓. “ลำตัว” ลักษณะเดียวกันกับ “พิมพ์จอบใหญ่” คือเป็นการนั่ง “สมาธิ” เช่นเดียวกันและอยู่ภายในกรอบรูป สามเหลี่ยมหน้าจั่ว เพียงแต่ไม่มี “เม็ดไข่ปลา” ล้อมรอบขอบเหรียญ
๔. “จีวร” ก็เป็นการห่มคลุมไหล่ซ้ายเฉกเช่น “พระสงฆ์” ทั่วไปและมี “ผ้าสังฆาฏิ” พาดจากไหล่ซ้ายเป็นแนว โค้งหนาลงมาจรดฝ่ามือ ส่วน “แขนขวา” ลักษณะจะอวบกว่าพิมพ์อื่นอีกด้วย
๕. “เนื้อเกิน” พิมพ์นี้ไม่ปรากฏเนื้อเกินที่บริเวนไหล่ซ้ายแต่อย่างใดเพียงแต่ “ข้อพับศอกขวา” ที่หักศอกไปประสานกับมือซ้ายจะปรากฏ “ร่องตื้น ๆ” เช่นกัน
๖. “เท้าซ้าย” เป็นเส้นตรงเช่นกันเพียงแต่ปรากฏมี “เนื้อเกิน” ระหว่าง “ชายจีวรเส้นที่สอง” ของ “เท้าขวา” กับ “ปลายเท้าซ้าย” จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ “ขาติด” (แข้งติด) ส่วน “ด้านหลัง” เรียบเช่นเดียวกันกับ “พิมพ์จอบใหญ่”
๗. “ด้านหลัง” เรียบไม่ปรากฏการจารอักขระ ยันต์ใด ๆ.
พุทธธัสสะ
ที่มา...


“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน”“เหรียญจอบเล็กพิมพ์ขาติด” - ศึกษาให้ดีมีกำไร

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
http://beta.dailynews.co.th/article/1291/8446

๏...“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” “เหรียญจอบเล็กพิมพ์เท้ากระดก”...๚ะ๛


“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” “เหรียญจอบเล็กพิมพ์เท้ากระดก” - ศึกษาให้ดีมีกำไร


 “เหรียญจอบเล็ก” ในตระกูล “พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” ที่นักสะสมแบ่งแยกออกเป็น “พิมพ์ขาติด” (แข้งติด) เพราะเป็นอีกหนึ่งในสี่พิมพ์ของยอด “พระหล่อโบราณ” ด้วยเนื้อ ทองผสม ที่มีขนาดโตประมาณ เล็บหัวแม่มือ แต่ก็ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากปัจจุบันองค์ที่ สวยสมบูรณ์ และไม่ผ่านการใช้มาก่อนก็ต้องใช้เงิน “ล้าน” จึงมีสิทธิได้เป็นเจ้าของ
วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำ “พิมพ์เท้ากระดก” หรือ “พิมพ์ขาหยัก” มาชี้จุดสังเกตเป็นลำดับต่อไปเนื่องจากเป็นอีก “พิมพ์จอบเล็ก” ที่ได้รับความนิยมสูงเช่นกัน
เพียงแต่มีการแบ่งแยกพิมพ์ เพื่อป้องกันการสับสนต่อการเรียกหาส่วนค่านิยม
ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ไหนของ “เหรียญจอบเล็ก” ล้วนเทียบเท่ากันหมดส่วนในกรณีที่ ราคา ผิดแผกแตกต่างกันบ้างก็ขึ้นอยู่กับ ความสมบูรณ์ ของเหรียญเป็นหลัก
ซึ่งจุดสังเกตของ “พิมพ์เท้ากระดก” (เท้าหยัก) มีดังนี้
๑. “หูเหรียญ” ไม่ปรากฏ “เม็ดไข่ปลา” ส่วน “ใบหน้า” ของพิมพ์จะสมส่วนกว่าทุกพิมพ์คือไม่ใหญ่และไม่เล็กเกินไปส่วน “จมูก” เรียวยาวและ “โหนกแก้ม” ไม่สูงมากนัก
๒. “คาง” ลักษณะสั้นเช่นกันและ “หู-ตา-ปาก” ปรากฏชัดเจนและลักษณะของ “ตา” เป็นเม็ดกลมเช่นกันกับพิมพ์อื่น ๆ 
๓. “ลำตัว” ลักษณะเดียวกันกับ “พิมพ์จอบใหญ่” คือเป็นการนั่ง “สมาธิ” เช่นเดียวกันและอยู่ภายในกรอบรูป สามเหลี่ยมหน้าจั่ว เพียงแต่ไม่มี “เม็ดไข่ปลา” ล้อมรอบขอบเหรียญ
๔. “จีวร” ก็เป็นการห่มคลุมไหล่ซ้ายเฉกเช่น “พระสงฆ์” ทั่วไปและมี “ผ้าสังฆาฏิ” พาดจากไหล่ซ้ายเป็นแนวโค้งหนาลงมาจรดฝ่ามือส่วน “แขนขวา” ลักษณะจะเรียวเล็กกว่าพิมพ์อื่นแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
๕. “เนื้อเกิน” พิมพ์นี้ไม่ปรากฏเนื้อเกินที่บริเวณไหล่ซ้ายแต่อย่างใดเพียงแต่ “ข้อพับศอกขวา” ที่หักศอกไปประสานกับมือซ้ายจะปรากฏ “ร่องตื้น ๆ” เช่นกัน
๖. “เท้าซ้าย” วางราบเป็นเส้นตรงเช่นกันแต่ไม่มี “เนื้อเกิน” ตรง “ชายจีวรเส้นที่สอง” ของ “เท้าขวา” กับ “ขาซ้าย” แต่ตรง “ปลายเท้าซ้าย” จะมีเนื้อเกินในลักษณะกระดกขึ้นเล็กน้อย (ต้องสังเกตให้ดี) จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ “เท้ากระดก”
๗. “ด้านหลัง” เรียบไม่ปรากฏการจารอักขระยันต์ใด ๆ.
พุทธธัสสะ

ที่มา...
“พระหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน” “เหรียญจอบเล็กพิมพ์เท้ากระดก” - ศึกษาให้ดีมีกำไร



http://beta.dailynews.co.th/article/1291/9566
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.

แสดงความคิดเห็น

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

๏...พระวิจารณญาณมุนี หลวงพ่อครน ปุณณสุวัณโณ ...๚ะ๛

พระวิจารณญาณมุนี หรือ หลวงพ่อครน ปุณณสุวัณโณ อดีตเจ้าคณะใหญ่รัฐกลันตัน อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 2 แห่งวัดอุตตมาราม บางแซะ รัฐกลันตัน มาเลเซีย อัตโนประวัติของหลวงพ่อครน จากหนังสือของวัดอุตตมาราม ว่า ท่านได้เป็นพระราชาคณะและเจ้าคณะใหญ่รัฐกลันตันในปี 2488 และจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ในปี 2505 แต่ท่านมรณภาพก่อนวันรับพัดยศ

ตั้งแต่หลวงพ่อครนมรณภาพในปี 2505 ผ่านมา 50 ปี ยังไม่มีใครพบหลักฐานการตั้งสมณศักดิ์ของหลวงพ่อครน ทั้งในหนังสือราช กิจจานุเบกษา หนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์หรืออื่นๆ และที่วัดอุตตมาราม เหลือหลักฐานชิ้นเดียวคือหนังสืองานศพของหลวงพ่อครนในปี 2506 ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าประวัติสมณศักดิ์ของหลวงพ่อครนจะถูกต้องหรือไม่
หนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์เล่ม 45 ภาค 8 วันที่ 25 สิงหาคม 2500 ในหน้า 697 และ 698 เรื่อง รายงานการเดินทางไปเปิดสอบธรรม ณ รัฐกลันตัน และรัฐเคดาห์แห่งสหพันธรัฐมลายู ประจำปี 2499 ของ แม่กองธรรมสนามหลวงและคณะโดยพระธรรมโกษา จารย์ (ชอบ อนุจารี) แม่กองธรรมสนามหลวง

"วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2500 คณะสงฆ์ และชาวบางแซะมาปรึกษาหัวหน้าแม่กองธรรมสายรัฐกลันตัน คือพระอมรเมธาจารย์ วัดมหาธาตุ พระนคร เพื่อขอพัดยศพระราชาคณะจากรัฐบาลไทยให้หลวงพ่อครนซึ่งท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะของรัฐกลันตันโดย สุลต่านอิบราฮิม อิบนี แห่งรัฐกลันตันเมื่อ 10 เมษายน ปี 2488 แต่ไม่มีพัดยศ พระอมรฯ ได้แนะนำให้ทำเรื่องขอพัดยศไปยังสุลต่านเพื่อส่งเรื่องต่อกงสุลไทยที่ปีนัง ไปยังรัฐบาลไทย"

จากรายงานการประชุมสังฆมนตรี พ.ศ. 2500 บันทึกว่า วันที่ 8 เมษายน 2500 เรื่องการ ขอพัดยศเข้าสู่ที่ประชุมสังฆมนตรี สังฆมนตรี ไม่อนุมัติ เพราะคณะสงฆ์และชาวบางแซะไม่ได้ทำเรื่องผ่านท่านสุลต่านแบบรัฐต่อรัฐ จากเหตุนี้สันนิษฐานว่ากรมศาสนาคงจัดพัดยศลายเปลวเพลิงพื้นแดง ซึ่งเป็นพัดระดับเจ้าคณะจังหวัดถวาย "หลวงพ่อครน" แทน เพื่อถนอมน้ำใจชาวบ้าน จากการเรียนถามท่านพระครูประศาสน์ประชากร เจ้าอาวาสวัดโพธิวิหาร กลันตัน (ท่านบวชปี 2497 หลวงพ่อครนเป็นอุปัชฌาย์) ท่านว่าเห็นพัดยศครั้งแรกประมาณปี 2500 นี้

เหรียญที่ระลึกในการฉลองสมณศักดิ์พระราชาคณะของหลวงพ่อครนตามธรรมเนียมไทย เป็นเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อครน รูปไข่ ด้านหน้าเขียนว่าเจ้าคุณวิจารณญาณมุนี ด้านหลังเป็นยันต์ตัวเลขไทย เนื้อทองแดงรมดำ ไม่มีกลาก (เนื้อเกิน) บริเวณแก้มซ้ายของหลวงพ่อ จำนวนเหรียญคาดว่าอยู่ในหลักไม่เกินร้อยเหรียญ เพราะมีคนไทยอยู่ละแวกวัดบางแซะ 70 ครอบครัว และช่วงสงครามโลหะหายาก พระ ครูประศาสน์ประชากร ท่านทราบว่ามีแต่ไม่มาก

ส่วนเหรียญคล้ายเหรียญรุ่นแรก แต่มีเนื้อเกินบริเวณแก้มซ้ายหรือเหรียญบล็อกกลาก ทางไทยว่าเป็นเหรียญรุ่นสองออกปี 2505 ทางมาเลเซียว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกออกปี 2500 จากขนาดของกลากเปรียบเทียบกับกลากบนเหรียญหลวงพ่อโสธรสองหน้าพิมพ์คางทูมปี 2508 ซึ่งใช้แม่พิมพ์ปี 2497 สรุปว่าเหรียญกลากต้องสร้างหลังจากเหรียญรุ่นแรกประมาณ 10 ปี

ส่วนเหรียญฉลองโบสถ์ ทางไทยว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกออกปี 2500 ทางมาเลเซียเรียกเหรียญดาวออกปี 2502 ชาวบางแซะว่าโบสถ์เริ่มลงเสาเข็มปี 2495 ข้อมูลจากหนังสืองานศพท่านมิตร (อดีตเจ้าคณะกลันตันและอดีตเจ้าอาวาสวัดบางแซะองค์ที่ 4) หน้า 65 ว่าโบสถ์วัดบางแซะใช้งบฯ สร้างสิบล้านบาทเศษ เปรียบเทียบกับโบสถ์วัดกลางท่าเรือ อยุธยา (หลวงพ่อนอ) สร้างปี 2504 เสร็จปี 2511 ราคาสองล้านบาท โบสถ์วัดบางแซะแพงกว่าโบสถ์วัดกลางที่สร้างทีหลังถึงห้าเท่า สมมติว่าค่าครองชีพในมาเลเซียสมัยนั้นสูงกว่าไทยสองเท่า โบสถ์วัดบางแซะก็ยังแพงกว่าถึงสองเท่าครึ่งแสดงว่าใช้เวลาก่อสร้างนาน โบสถ์คงสร้างเสร็จหลังปี 2502

ดังนั้นเหรียญฉลองโบสถ์ควรออกหลังปี 2502 ในเดือนพฤษภาคม ปี 2501 สมเด็จพระวันรัตไปดูงานศาสนาที่มาเลเซีย และมีบัญชา ให้พระไทยในมาเลเซียเสนอขอพระราชทาน สมณศักดิ์

พระเทพญาณโมลี เจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยภาค 9 จึงเสนอแต่งตั้งหลวงพ่อครน ท่านชุม วัดเทพชุมนุม พระปลัดเวียง วัดสิริสามัคคี ผ่านทางสถานทูตที่กัวลาลัมเปอร์มายังกรมการศาสนาๆ มีมติให้รอไว้ก่อน

จนกระทั่งเดือนมิถุนายนปี 2505 ในหลวงเสด็จฯ มาเลเซีย กรมการศาสนาแต่งตั้งหลวงพ่อครนเป็นพระราชาคณะอีกครั้งและแจ้งทางมาเลเซีย เพราะหลวงพ่อเป็นพระราชาคณะของมาเลเซีย มาเลเซียไม่ขัดข้อง แต่เวลากระชั้นชิดเตรียมการไม่ทัน กรมศาสนาจึงเลื่อนเป็นวันที่ 5 ธันวาคม
แต่หลวงพ่อครนมรณภาพในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2505 ถือว่าท่านยังไม่ได้เป็นพระราชาคณะของไทย

๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7729 ข่าวสดรายวัน


หลักฐานใหม่'หลวงพ่อครน' อดีตพระเกจิดัง-เหรียญยอดนิยม


คอลัมน์ มุมพระเก่า
อภิญญา

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOakkzTURFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB5Tnc9PQ==

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

๏...พระกริ่งใหญ่...๚ะ๛

"พระกริ่งใหญ่" ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดพระกริ่งชั้นนำอันดับหนึ่งของพระกริ่งนอกทั้งหมด และหาดูได้ยากมาก มีถิ่นกำเนิดอยู่ ณ มณฑลซัวไซ ประเทศจีน ในราวสมัย "ราชวงศ์ถัง" แรกเริ่มเดิมทีเป็นที่นิยมอย่างมากในจีน ต่อมาขยายไปยังเขมร และเข้ามาสู่ประเทศไทยเมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ถ้านับอายุจนถึงปัจจุบันก็คงยืนยาวกว่าพันปีขึ้นไปทีเดียว
พระกริ่งใหญ่ เป็นพระเนื้อโลหะสัมฤทธิ์ สีทองดอกบวบ ผิวสนิมหุ้มออกเป็นสีมันเทศหรือน้ำตาลแก่ ก้นปิดเป็นแอ่งแบบกระทะ ด้วยเนื้อโลหะที่ค่อนข้างแก่ทองเหลือง เขย่าแล้วจะเกิดเสียงดังกังวาน แต่บางองค์ก้นกลวงโดยไม่ปิดก็มี ใช้กรรมวิธีการหล่อแบบลอยองค์ สร้างเป็นรูปสมมติแทนองค์ "พระไภษัชคุรุ" ในลัทธิมหายาน โดยใช้แม่พิมพ์แบบ "พิมพ์ประกับ" หรือ "พิมพ์ประกบ" คือมีแม่พิมพ์ 2 ชิ้น เป็นพิมพ์ประกบด้านหน้าและด้านหลัง ดังนั้น จึงปรากฏตำหนิเป็น "รอยตะเข็บ" ที่ด้านข้างขององค์พระทุกองค์ จะมีมากน้อยต่างกันไป และจากพุทธลักษณะที่ใหญ่อวบขององค์พระ จึงให้ชื่อพระกริ่งนี้ว่า "พระกริ่งใหญ่" เมื่อพิจารณาที่พระพักตร์หรือพระเนตรแล้ว จะสามารถชี้ชัดได้เลยว่าเป็นศิลปะที่เกิดจากสกุลช่างจีนบริสุทธิ์จริงๆ
"พระกริ่งใหญ่" มีพุทธลักษณะที่สง่า งดงาม แลดูอิ่มเอิบ องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย บนฐานกลีบบัวซ้อน 2 ชั้น ชั้นละ 7 กลีบ พระหัตถ์ขวาวางพาดบนพระเพลา พระหัตถ์ซ้ายทรงวชิราวุธ พระเศียรค่อนข้างใหญ่ ด้านหลังแบนลาดกว่าด้านหน้ามาก พระเกศเป็นแบบมุ่นเมาลี 3 ชั้น ด้านหน้าระหว่างพระเมาลีชั้นล่างสุดและชั้นที่ 2 ประดับแซมด้วยรูป "พระจันทร์ครึ่งซีก" เม็ดพระเกศเป็นตุ่มนูน เว้นช่องอย่างสม่ำเสมอ แสดงถึงความละเอียดประณีตในการสร้าง มีทั้งหมด 14 เม็ด ไม่มีซ้ำหรือแซม อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่ง กรอบไรพระเกศายกสูงกว่าพระนลาฏมากเป็นพิเศษ

พระเนตรตอกเป็นเส้นลึก เฉียงขึ้นด้านบนเล็กน้อย ที่เรียกว่า "ตาจีน" พระนาสิกโด่งเป็นสัน ตรงปลายขยายบานออก พระโอษฐ์เป็นเส้นโค้ง ด้านบนกว้างกว่าด้านล่าง มุมพระโอษฐ์ทั้งสองตอกลึกลงไป วงพระพักตร์อิ่มอวบอูม ลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมมน พระหนุจะเห็นอยู่ในที่ไม่ปรากฏเด่นชัด
พระกรรณข้างขวาสั้นกว่าข้างซ้ายและไม่ติดพระอังสา ส่วนพระกรรณด้านซ้ายจรดพระอังสาพอดี พระอังสาทั้ง 2 ข้าง ลาดมนกลมกลืนไม่มีแง่มุมใดๆ เลย พระอุระอวบอูมและวาดเข้าหาพระกัจฉะ ฐานผ้าทิพย์ด้านหน้าพระเพลาแบนราบ และดูพลิ้วอยู่ในที เส้นชายจีวรและสังฆาฏิตลอดจนเส้นอาสนะเหนือฐานบัวด้านหน้า เป็น "เม็ดไข่ปลา" นูนกลมละเอียดงดงาม สัณฐานบัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบ "บัวจีน" เม็ดบัวเป็นตุ่มกลมนูน และร่องบัวทั้งสองเป็นร่องลึก

เมื่อมีโอกาสได้พินิจพิจารณาพุทธลักษณะของ "พระกริ่งใหญ่" แล้ว จะเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบเยือกเย็น ให้แรงบันดาลใจอันเปี่ยมสุขได้อย่างน่าอัศจรรย์ อาจจะสืบเนื่องจากความยิ่งใหญ่ของพระกริ่งใหญ่นี้เอง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร และสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม ทรงจำลองแบบอย่างการจัดสร้างพระกริ่งมาจากพระกริ่งใหญ่ ทั้งสิ้น
จึงถือได้ว่า "พระกริ่งใหญ่" เป็นต้นแบบในการสร้าง "พระกริ่ง" ในสยามประเทศเลยทีเดียว และเคยมีผู้บูชาพระกริ่งใหญ่ในครอบครองท่านหนึ่งอยู่แถบปักษ์ใต้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านเคยได้อธิษฐานกำหนดกลั้นลมหายใจแล้วหันหน้าไปทางที่สายรุ้งกำลังพาดกับขอบฟ้า กำพระกริ่งใหญ่ไว้ในกำมือแล้วตวัดขึ้นลงสองคาบ ปรากฏว่าเห็นสายรุ้งขาดเป็นสามท่อนเป็นที่น่าอัศจรรย์ เรื่องนี้คนเก่าๆ จะทราบและเล่าขานกันต่อมาว่ากริ่งใหญ่มีฤทธานุภาพถึงขนาดตัดสายรุ้งขาดได้ครับผม

ที่มา...
พระกริ่งใหญ่

คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOakl6TURFMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB5TXc9PQ==